ประเภทของมหาวิทยาลัย

มีมหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาหลายประเภทในสหราชอาณาจักร การทําความเข้าใจประเภทของมหาวิทยาลัยจะช่วยในการพิจารณาเลือกมหาวิทยาลัย และตัดสินใจเพื่อให้ได้รับประสบการณ์ในการเป็นนักศึกษาแบบที่เหมาะกับคุณที่สุด

1. มหาวิทยาลัยแบบดั้งเดิม

มหาวิทยาลัยแบบดั้งเดิมมักจะมีขนาดใหญ่และมีประวัติยาวนานที่สุด มหาวิทยาลัยเหล่านี้มักจะตั้งอยู่ในเมืองใหญ่และหลายแห่งกําหนดคุณสมบัติในการเข้าศึกษาสูงกว่าสถาบันอื่น ๆ

มหาวิทยาลัยเหล่านี้มีชื่อเสียงมายาวนานในด้านงานวิจัยและทางวิชาการ และมหาวิทยาลัยที่ได้รับการยกย่องหลายแห่งใน Russell Group จัดอยู่ในมหาวิทยาลัยประเภทนี้

‘มหาวิทยาลัยแบบดั้งเดิมได้ยืนหยัดผ่านกาลเวลาและรักษาชื่อเสียงของตนไว้ได้ด้วยเหตุผลหลายประการ ทั้งคุณภาพของการศึกษาหรือความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับวิธีการสอนและความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีทําให้นักศึกษาประสบความสําเร็จ สถาบันเหล่านี้มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน’

คริสลีน นักศึกษากฎหมายจากมหาวิทยาลัยกลาสโกว์ (University of Glasgow)

2. มหาวิทยาลัยในกลุ่ม Metropolitan

มหาวิทยาลัยในกลุ่ม Metropolitan เป็นตัวเลือกอีกแบบนอกเหนือจากมหาวิทยาลัยแบบดั้งเดิม และมีความทันสมัย สถาบันเหล่านี้หลายแห่งก่อตั้งขึ้นในช่วงทศวรรษ 1990

มักจะเปิดสอนหลักสูตรที่หลากหลายกว่ามหาวิทยาลัยทั่วไป โดยมีตัวเลือกให้เลือกเรียนมากกว่า เช่น การบริหารจัดการการเล่นเกมและงานอีเวนต์ หรือหลักสูตรเฉพาะกลุ่มในสาขาวิชาต่าง ๆ เช่น ธุรกิจและการเงิน เป็นต้น มหาวิทยาลัยเหล่านี้อาจมีค่าธรรมเนียมแรกเข้าต่ำกว่ามหาวิทยาลัยแบบดั้งเดิม แต่ขึ้นอยู่กับแต่ละมหาวิทยาลัยและหลักสูตร

‘การเรียนที่มหาวิทยาลัยในกลุ่ม Metropolitan ทำให้ฉันได้พบปะผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก อีกทั้งยังเป็นการสร้างเครือข่ายในการทำงาน คำแนะนำและความช่วยเหลือที่เราได้รับจากมหาวิทยาลัยก็มีมากมายเช่นกัน ไม่ว่าชั้นเรียนของฉันจะใหญ่แค่ไหน อาจารย์ก็พร้อมเสมอที่จะให้ความใส่ใจ บางครั้งฉันก็รู้สึกเหมือนฉันเป็นนักศึกษาเพียงคนเดียวด้วยซ้ำไป’

นักศึกษาสาขาวิชาวิทยาการข้อมูลที่มหาวิทยาลัยโรเบิร์ตกอร์ดอน (Robert Gordon University) ในอเบอร์ดีน

‘สิ่งหนึ่งที่ดีมากเกี่ยวกับการเรียนในมหาวิทยาลัย Metropolitan ขนาดเล็กก็คือ การที่ชั้นเรียนมีขนาดเล็กทำให้ประสบการณ์การสอนและการเรียนรู้แตกต่างออกไปพอสมควร ลองนึกภาพว่าในห้องบรรยายของมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ สามารถรองรับนักศึกษาได้ 100-300 คนในชั้นเรียนเดียว แต่ในชั้นเรียนของฉัน มีนักศึกษาเพียง 16-20 คน เราจึงสามารถสอบถามข้อสงสัยและมีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิดได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่เฉพาะบุคคลมาก เพื่อนร่วมชั้นของฉันทุกคนล้วนเป็นมืออาชีพที่ทำงานในสาขาที่เราเรียนกันอยู่แล้ว และพวกเขาก็ช่วยฉันได้มากในการหางานอาสาสมัครและการสมัครงาน’

ฐวลัญชน์ นักศึกษาสาขา Special Educational Needs and Disability ที่ มหาวิทยาลัยบิชอปกอรสเทสต์ (Bishop Grosseteste University) ในลินคอล์น

3. มหาวิทยาลัยเฉพาะทาง

มหาวิทยาลัยเฉพาะทางมุ่งเน้นไปที่สาขาวิชาเฉพาะ เช่น วิทยาศาสตร์ กฎหมาย เกษตรกรรม ดนตรี การเต้นรำ ศิลปะ หรือการละคร สถาบันเหล่านี้บางแห่งเรียกว่า ‘โรงเรียนสอนศิลปะ’ (conservatoires) หรือ ‘สถาบันการศึกษา’ (academy) 

‘ประสบการณ์การเรียนในมหาวิทยาลัยเฉพาะทางของฉันนั้นน่าประทับใจมาก เนื่องจากฉันเรียนหลักสูตรเฉพาะทาง จึงมีนักศึกษาเพียง 30 คนเท่านั้นในชั้นปีของฉัน ฉันได้รับประสบการณ์ที่เหมาะสมกับตัวฉัน เนื่องจากมหาวิทยาลัยเป็นแบบเฉพาะทาง บทเรียนทั้งหมดที่เราเรียนจึงได้รับการออกแบบมาสำหรับทำงานในสาขาวิชานั้นจริง ๆ เป็นเหมือนเครื่องมือที่เราสามารถไปใช้งานได้จริง ไม่ว่าจะในฐานะนักแสดง หรือเพื่อการเข้ารับการคัดเลือกนักแสดงก็ตาม ฉันจึงอยากจะแนะนำให้มาเรียนในสถาบันเฉเพาะทางแบบนี้ หากคุณมีสนใจสาขาวิชาใดวิชาหนึ่งโดยเฉเพาะ’

เดมอนดา นักศึกษาสาขา Musical Theatre ที่ Royal Academy of Music

‘ถ้าคุณจะเชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง คุณต้องแน่ใจว่าได้เลือกหลักสูตรที่มีโครงสร้างที่ดีที่สุดและมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของคุณมากที่สุด หลักสูตรนั้นจะต้องสอดคล้องกับแผนการในอนาคตของคุณอย่างไร และการมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านจะเป็นประโยชน์ต่อคุณหรือไม่ หรือที่จริงแล้วสิ่งที่คุณอยากทำต้องใช้เพียงแค่คุณวุฒิทั่วไปเท่านั้น ไม่มีสิ่งที่ถูกหรือผิด คุณเพียงแค่ต้องพิจารณาว่าสิ่งใดเหมาะสมที่สุดสำหรับสิ่งที่คุณต้องการจะทำในอนาคต’

คริสลีน นักศึกษาวิชากฎหมายจากมหาวิทยาลัยกลาสโกว์ (University of Glasgow)

มหาวิทยาลัยแบบเป็นวิทยาเขต

มหาวิทยาลัยแบบเป็นวิทยาเขตอาจตั้งอยู่ในเขตชานเมืองของเมืองใหญ่หรือเมืองเล็ก แต่ก็มีมหาวิทยาลัยในวิทยาเขตจำนวนมากที่อยู่ในตัวเมืองเช่นกัน

มหาวิทยาลัยประเภทนี้มีทั้งมหาวิทยาลัยแบบดั้งเดิมหรือมหาวิทยาลัยในกลุ่ม Metropolitan โดยมีการจัดการโครงสร้างให้มุ่งเน้นในการรวมสิ่งอํานวยความสะดวกทั้งหมดไว้ในที่เดียว รวมถึงที่พักอาศัย ซึ่งแตกต่างจากมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ที่อาจกระจายอยู่ทั่วเมือง

นักศึกษาจำนวนมากเลือกเรียนในมหาวิทยาลัยที่เป็นวิทยาเขตเนื่องจากมีความสะดวกในการเดินทาง สามารถเข้าถึงทุกสิ่งที่ต้องการได้ และชุมชนนักศึกษามีขนาดใหญ่และใกล้ชิดกัน

‘เมื่อฉันอยู่ในวิทยาเขต ทุกอย่างที่ฉันต้องการอยู่แค่เอื้อม มันสะดวกมากเพราะห้องสมุด สถานที่เล่นกีฬา ซูเปอร์มาร์เก็ต คาเฟ่ และไนท์คลับของมหาวิทยาลัยล้วนอยู่ในระยะที่เดินถึงกัน เรายังมีทะเลสาบที่สวยงามมากอยู่ในวิทยาเขตอีกด้วย ฉันชอบไปนั่งเล่นที่นั่น’

คยาตรี นักศึกษาสาขาวิชาชีววิทยาศาสตร์โมเลกุลที่มหาวิทยาลัยบาธ (University of Bath)

‘ฉันตัดสินใจเรียนที่มหาวิทยาลัยที่เป็นวิทยาเขตเพราะฉันชอบมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ฉันสนุกกับการเดินไปเรียนและมีเพื่อนอยู่ใกล้ ๆ ฉันอยากจะแนะนําให้เรียนที่มหาวิทยาลัยที่เป็นวิทยาเขตเพราะมีความสะดวก ผู้คนมากมายอาศัยอยู่ที่นี่ เป็นสังคมที่ดีและฉันรู้สึกปลอดภัยมากที่อยู่ในวิทยาเขต แถมไม่เคยต้องกังวลเรื่องการเดินทางแม้กระทั่งตอนกลางคืน’

อิซาเบลา นักศึกษาสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์การเมืองที่มหาวิทยาลัยเอสเซ็กซ์ (University of Essex)